วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ขาดคุณธรรม กำแพงที่ยิ่งใหญ่ก็ช่วยอะไรไม่ได้

ชาวจีนโบราณต้องการอยู่อย่างปลอดภัยพวกเขาได้สร้างกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาโดยเชื่อว่าจะไม่มีมนุษย์หน้าไหนสามารถปีนมันได้เพราะสูงมากๆ

แต่ทว่า..!

ภายในร้อยปีแรกหลังการสร้างกำแพงนั้น เมืองจีนกลับถูกรุกรานถึงสามครั้ง!
และในแต่ละครั้งกองทัพบกของศัตรูไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทะลวงกำแพงหรือปีนมันเลยแม้แต่น้อย..!

เพราะอะไร???
ในทุกครั้ง ศัตรูจะใช้วิธีติดสินบนยามเฝ้าประตูแล้วเข้าทางประตูนั่นแหละ.
แน่นอนว่าชาวจีนมัวแต่ห่วงเรื่องสร้างกำแพงจนลืมสร้างคนเฝ้ากำแพง..!

เพราะการสร้างคนต้องมาก่อนการสร้างทุกสิ่ง และนี่คือสิ่งที่คนหนุ่มสาวของพวกเราทุกวันนี้ต้องตระหนักให้มาก

นักบูรพาคดีคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า:ถ้าท่านต้องการทำลาย อารยธรรมของประชาชาติหนึ่งประชาชาติใด มีขั้นตอนอยู่สามอย่างคือ:
1.ทำลายครอบครัว
 2.ทำลายการศึกษา
 3.ล้มบุคคลต้นแบบและตัวอย่างที่ดีงามของพวกเขา.

เมื่อใดพ่อแม่ที่ฉลาด ครูที่จริงใจและต้นแบบที่ดีหายไป
เมื่อนั้นกำแพงที่ยิ่งใหญ่ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะขาดผู้ที่จะเลี้ยงดูต้นกล้าเยาวชนให้มีคุณธรรมนั่นเอง

credit: ไลน์ดร.อมรศักดิ์

โจโฉ สอน โจผี


โจโฉ : เจ้าจะปกครองบ้านเมืองแบบไหน ?
โจผี : เราควรจะส่งเสริมขุนนางที่ซื่อสัตย์ ส่งเสริมคนดีให้มีอำนาจ 
โจโฉ : ผิด ...เราไม่ควรส่งเสริมขุนนางที่ซื่อสัตย์...

โจผี : อ้าว ...ทำไมล่ะ ?
โจโฉ : ขุนนางตงฉิน จะทำลายเรา ความชื่อสัตย์ จะทำให้ประชาชนรักเขา วันหนึ่งเขาจะเป็นอันตรายกับเรา    

โจผี : อ้าวงั้นข้า ...ควรทำอย่างไร ?
โจโฉ : เราต้องส่งเสริมขุนนาง "กังฉิน"  ไม่ใช่ "ตงฉิน"   
ให้อำนาจ "กังฉิน" ดูแลบ้านเมือง   

โจผี : เลี้ยงเขาให้ดี ...ให้เงินทองใช้ ?
โจโฉ : ผิด ...จงอย่าเลี้ยงให้มัน "อิ่ม"  เสืออิ่มจะไม่กัด ...ให้เงินมันน้อยๆ  กังฉินกินไม่พอ มันก็จะเอาอำนาจที่เราให้มัน ไปหาประโยชน์จากประชาชน  
เมื่อกังฉินใช้อำนาจเราหากิน  มันก็จะปกป้องเรา ...เราจะปลอดภัย  เท่านั้นยังไม่พอ กังฉินจะมีความผิด เป็นชนักติดหลัง
กังฉินคนไหนทรยศ เราก็ใช้ข้อหาที่มันฉ้อราษฎร์บังหลวงเล่นงานมัน

โจผี : แต่ทำอย่างนั้นไปนานๆ ประชาชนที่เดือดร้อนมากขึ้นๆ จะไม่ลุกมาโค่นล้มเราหรือ ?  
โจโฉ : อย่ากลัวไปเลย
...การเลี้ยงกังฉิน มีวิธีการ
1. จงอย่าเลี้ยงให้อิ่ม  และ
2. จงอย่าเลี้ยงให้สามัคคี... 

โจผี : อย่าเลี้ยงให้สามัคคี ทำอย่างไร ?
โจโฉ : จงให้อำนาจแก่คนที่ไม่สมควรจะได้...

โจผี : ทำแบบนั้น จะได้อะไร ?
โจโฉ : ได้กังฉิน ไว้ปราบกังฉิน
...เมื่อกังฉินที่ปกครองเมืองใด  ทำประชาชนเดือดร้อนมากๆ มีท่าทีจะก่อความวุ่นวายลุกลามมาถึงเรา  เราก็ให้อำนาจ แก่กังฉินอีกเมือง มาโค่น ... 
เมื่อโค่นสำเร็จ ...ประชาชนก็จะ แซ่ซ้อง สรรเสริญเรา ...รักเรา  ด้วยแรงนิยมที่ไล่กังฉินเก่าให้นี้เอง
ส่วนกังฉินใหม่นั้น ก็จะช่วยเราปกครองอย่างสงบ เข้าที่เข้าทางต่อไปได้อีกหลายปี...
และ เมื่อถึงเวลา ...เราก็ทำแบบเดิมอีกไปเรื่อยๆ
วิธีนี้...เราก็จะอยู่ได้ตลอดไป
...เข้าใจหรือยัง ?

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

โจรก็ติดกับดักตัวเองได้ ถ้าไม่ระวัง

ก่อนอื่น ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้สอนเทคนิคเป็นโจร แต่เป็นตัวอย่างของภาษิตที่ว่า "สะดุดขาตัวเอง" หรือ "หนามยอก เอาหนามบ่ง"



วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เลิกขยันทำงานแบบโง่ ๆ ซะที!!!

โดยทั่วไป คนที่ไม่เก่ง หากขยันขันแข็งก็จะประสบความสำเร็จได้ดีพอ ๆ กับคนเก่ง หรือาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ในทางกลับกัน คนที่มักต้องทำงานหนัก ดึกๆดื่น ๆ ตลอด อาจจะไม่ใช่คนขยันเสมอไป หรือแม้แต่ขยันแต่ไม่รู้จักคิดพิจารณาความเหมาะสม ก็อาจจะพลาดเป้าหมายสำคัญในชีวิตได้

ไปเจอบทความหนึ่งที่ส่งต่อ ๆ กันมา ไม่รู้ว่าเริ่มต้นมาจากไหน เลยขอเอามาแปะไว้ ผมไม่ได้เหฌนด้วยทั้งหมด แต่ก็นับว่าให้ข้อคิดได้ดีพอสมควร

ขงจื๊อ" เคยกล่าวไว้เมื่อ 2,000 ปีก่อนว่า...
คนฉลาดและขยัน ควรส่งเสริมให้เป็นแม่ทัพ,
คนฉลาดและขี้เกียจ ควรเลี้ยงไว้เป็นทหารฝ่ายเสนาธิการวางแผนอยู่เบื้องหลัง,
คนโง่และขี้เกียจเก็บไว้ใช้สอยทำงานตามคำสั่งก็พอไหว,
แต่ถ้าเจอคนโง่และขยัน ต้องเอาไปตัดหัวทิ้งทันที
เพราะจะทำให้งานเสีย และก่อความเดือดร้อนไม่รู้จบ

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนฉลาด หรือคนโง่...การขยันแบบไม่รู้เวล่ำเวลา ขยันทำสิ่งผิดๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ดีแต่สร้างความเสียหายมากกว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เริ่มตั้งแต่วันนี้ก็ยังไม่สาย เลิกซะทีวัฒนธรรมการทำงานแบบขยันผิดที่ผิดเวลา

เหตุผลดีๆ ที่คนเราไม่ควรขยันแบบผิดๆ คือ

ประการที่ 1 : การขยันทำงานที่เน้นแต่ปริมาณโดยไม่ใช้สมอง ไม่มีทางทำให้ได้งานดีมีคุณภาพ!! ลองเปลี่ยนวิธีทำงานซะใหม่ คิดให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือทำ และจัดอันดับความสำคัญให้เป็น เชื่อสิครับว่างานจะเสร็จเร็วกว่าเดิมเยอะ แถมยังได้งานดีมีคุณภาพ ไม่ใช่สักแต่ทำไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักวางแผนงาน

ประการที่ 2 : การโหมงานโต้รุ่ง และนอนดึกตื่นสาย ทำลายความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เพราะสมองที่เบลอไม่มีทางคิดอะไรออก เรื่องนี้คอนเฟิร์มโดย "เอเรียนนา ฮัฟฟิงตัน" คอลัมนิสต์ชื่อดังชาวอเมริกันเชื้อสายกรีก แห่งเว็บไซต์ฮัฟฟิงตัน โพสต์ ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ ให้เป็นหนึ่งในผู้หญิงทรงอิทธิพลที่สุดในวงการสื่อโลก

ประการที่ 3 : การขยันทำงานตอนไฟลนก้นทำให้อารมณ์เสีย และทำลายความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ลองจัดสรรเวลาทำงานใหม่ โดยเตรียมงานไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วคุณจะไม่ต้องปรี๊ดแตกใส่ใครต่อใครให้เสียบรรยากาศ

ประการที่ 4 : ถ้าคุณเป็นเจ้านายคน ควรเป็นแบบอย่างที่ดีของลูกน้อง โดยเฉพาะการบริหารจัดการเวลา คนที่ทำงานเป็น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่ในออฟฟิศจนดึกดื่น เพื่อให้ได้ผลงานน้อยนิด

ประการที่ 5 : การขยันทำงานหามรุ่งหามค่ำบั่นทอนสุขภาพให้ทรุดโทรม ตัวอย่างสุดช็อกเกิดขึ้นปลายปีที่แล้ว เมื่อสาวน้อยก๊อบปี้ไรเตอร์โฆษณาชาวอินโดนีเซีย "มิต้า ดิแรน" วัย 24 ปี หัวใจวายตายคาโต๊ะหลังทำงานหนักติดต่อกัน 30 ชั่วโมง โดยไม่ได้หยุดพัก

ประการที่ 6 : หยุดคิดสักนิด แล้วจะรู้ว่างานส่วนใหญ่ที่บ้าทำตอนนี้ แทบไม่มีความสำคัญอะไรเลย มนุษย์เงินเดือนจำนวนมากก้มหน้าก้มตาทำงานซ้ำๆ อยู่ในออฟฟิศวันละหลายชั่วโมง โดยไม่เคยถามตัวเองว่า สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ มีประโยชน์กับชีวิตมากน้อยแค่ไหน ทำให้เราพัฒนาขึ้นหรือเปล่า และให้อะไรกับสังคมบ้าง?

ประการที่ 7 : ครอบครัวต้องมาก่อน อย่าปล่อยให้งานทำชีวิตพัง ความก้าวหน้าทางการงาน อาจสำคัญสำหรับใครหลายๆ คน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เทียบไม่ได้เลยกับการมีครอบครัว อบอุ่นน่ารัก เพราะไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์ พวกเขาคือคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเราจริงๆ

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แนวทางปลดหนี้สำหรับมนุษย์เงินเดือน

ไปพบจากที่เขาแชร์กันใน facebook จาอัลบั้มภาพชื่อ  ปลดหนี้  ของผู้ใช้ที่ชื่อว่า "ลูกจ้างใจกล้า" เลยเอามาใส่ไว้ เผื่อใครไม่ได้เล่นสื่อสังคมออนไลน์ ภาษาอาจจะดูรุนแรงหน่อย แต่ตรงประเด็นเลยทีเดียว นับว่าให้ข้อคิดที่ดีพอสมควรครับ




































ปลูกผักไร้ดินเชิงการค้า ในงบประมาณ 2,500 บาท

ไปพบเนื้อใน http://kaijeaw.com/ปลูกผักไร้ดิน (ซึ่งเอาเนื้อมาจาก matichon.co.th อีกที) ก็เลยขอเอามาแปะให้อ่านกันง่าย ๆ ขึ้น



การปลูกผักของคนในเมืองจะมีข้อจำกัดมากกว่าคนในชนบท ข้อจำกัดหลักเลยก็คือสภาพพื้นที่ ขนาดพื้นที่ รวมถึงสภาวะแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ ขาดแคลนแรงงาน เป็นต้น แต่เราก็เรียนรู้ที่จะเอาชนะข้อจำกัดเหล่านั้นด้วยเทคโนโลยีการปลูกผักแบบใหม่ ที่เรียกว่า "ระบบไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics)" หรือที่เรียกกันแบบง่ายๆ ว่า "ระบบการปลูกผักไร้ดิน"

แนะนำให้รู้จักกับเกษตรกรคนเก่ง
คุณกฤษฎา ทัสนารมย์ เป็นเจ้าของ บริษัท ไลฟ์ลี่ การ์เด้นท์ จำกัด (โทร. +66 81 855 2223, +66 80 999 0364) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผักระบบไฮโดรโปนิกส์ สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขาเกษตร ผ่านประสบการณ์การเป็นเกษตรกร อาจารย์พิเศษสอนในระดับมหาวิทยาลัย และเป็นวิทยากรให้ความรู้เรื่องการออกแบบดูแลรักษาสวนหย่อม และการปลูกผักระบบไฮโดรโปนิกส์ ให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง



การปลูกผักระบบไฮโดรโปนิกส์ 

คุณกฤษฎา กล่าวว่า การเพาะปลูกผักระบบไฮโดรโปนิกส์ คือระบบการปลูกพืชในน้ำที่มีสารละลายอาหารพืชอยู่ครบถ้วน ทำให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างปกติ พืชไม่มีความเครียดจากการขาดน้ำและธาตุอาหาร

ข้อได้เปรียบของการปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์ คือ
1. ควบคุมการใช้ธาตุอาหารของพืชได้ง่ายกว่าการปลูกพืชในดิน
2. ลดค่าแรงงานในการเตรียมพื้นที่ปลูกได้มาก
3. ประหยัดน้ำกว่าการให้น้ำกับพืชที่ปลูกทางดิน ไม่น้อยกว่า 10 เท่า
4. ควบคุมโรคในดินได้ง่ายกว่าการปลูกพืชในดินตามปกติ
5. สามารถปลูกพืชได้ในพื้นที่ที่ไม่สามารถปลูกพืชในดินได้ เช่น ดินไม่ดี หรือบนพื้นปูน
6. ได้ผลผลิตค่อนข้างสม่ำเสมอ และมีคุณภาพดีกว่าการปลูกในดิน
7. ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการปลูกพืชในดิน
8. ประหยัดเมล็ดพันธุ์มากกว่าการปลูกแบบใช้ดิน

ข้อด้อยของการปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์ คือ

1. ต้องลงทุนสูงในเรื่องอุปกรณ์ต่างๆ
2. ผู้ปลูกต้องมีความรู้ด้านการจัดการ
3. เทคโนโลยีที่ใช้ในระบบปลูกต้องมีระบบน้ำและระบบไฟฟ้าที่พร้อม
4. มีข้อจำกัดของชนิดพืช ไม่สามารถปลูกพืชทุกชนิดได้ (พืชบางชนิดยังต้องอาศัยการปลูกในดิน
5. การแพร่กระจายของเชื้อโรคทางน้ำในระบบได้เป็นไปได้เร็วและยากต่อการควบคุม
6. หากอุณหภูมิของสารละลายเกิน 29 องศาเซลเซียส ปริมาณออกซิเจน ในสารละลายจะลดต่ำ อาจส่งผลเสียต่อการปลูกผักได้



รูปแบบการปลูกผักไร้ดิน
คุณกฤษฎา กล่าวว่า รูปแบบของการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ที่ใช้หลักการ ให้ธาตุอาหารพืชในรูปของสารละลายโดยให้รากพืชจุ่มลงสารละลายธาตุอาหารพืชโดยตรงนั้น สามารถแบ่งเป็น 3 ระบบ ที่สำคัญ ได้แก่

1. ระบบ ดีอาร์เอฟ (Dynamic Root Floating, DRF)
เป็นระบบที่ให้รากพืชแช่อยู่ในน้ำส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งลอยอยู่ในอากาศ เพื่อช่วยในการหายใจ ทำให้พืชสามารถเจริญในสารละลาย
2. ระบบ เอ็นเอฟที (Nutrient Film Techique, NFT)
เป็นการปลูกพืชในรางตื้นๆ ที่ติดตั้งให้มีความลาดเอียง 1-3% โดยให้สารละลายไหลผ่านรากพืชเป็นชั้นแผ่นผิวบางๆ โดยสารละลายจะไหลหมุนเวียนผ่านรากตลอดเวลา ความยาวของระบบ มีตั้งแต่ 1-20 เมตร แต่ไม่ควรเกิน 20 เมตร เนื่องจากจะทำให้เกิดความแตกต่างของปริมาณออกซิเจนระหว่างหัวระบบและท้ายระบบ
3. ระบบ ดีเอฟที (Deep Floating Technique, DFT)
เป็นระบบการปลูกพืชในสารละลายลึก 15-20 เซนติเมตร ในกระบะที่ไม่มีความลาดเอียง ปลูกบนแผ่นโฟม หรือวัสดุลอยน้ำได้ เพื่อใช้เป็นที่ยึดลำต้นให้มีการหมุนเวียนสารละลายจากถังพักขึ้นมาใช้ใหม่โดยใช้ปั๊ม การหมุนเวียนในระบบนี้เป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่รากพืช  ซึ่งในระบบนี้การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสารละลายจะมีน้อยกว่า ระบบ NFT



โอกาสของการทำสวนผักไร้ดินเชิงการค้า

กระแสการบริโภค “ผัก” เพื่อลดความเสี่ยงโรคภัย
ปัจจุบัน คนไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับปัญหาโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคไต ความดัน ฯลฯ บางโรคอาจเกิดจากการรับประทานอาหาร บางโรคอาจเกิดจากสภาวะแวดล้อม บางโรคอาจเกิดจากหลายปัจจัยต่างๆ รวมกัน ซึ่งการบริโภค “ผัก” เป็นวิธีการหนึ่งที่จะลดความเสี่ยงโรคภัยได้ เนื่องจากคุณสมบัติต่างๆ ของผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผักบางชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระ บางชนิดมีฤทธิ์เป็นยา บางชนิดช่วยในเรื่องการขับถ่าย ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงจากการรับประทานผัก

กระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ
กระแสความนิยมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะผักสดปลอดสารพิษ ทำให้ผักเป็นสินค้าที่ขายดีมาก มีมูลค่าตลาดสูงถึง 80,000 ล้านบาท ซึ่งการปลูกพืชผักไฮโดรโปนิกส์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการปลูกผักปลอดสารพิษ ปลูกไม่ต้องเสียเวลารดน้ำ พรวนดินในแปลงผักให้เหนื่อย เพราะแปลงปลูกผักไร้ดินได้ถูกติดตั้งอุปกรณ์ดูแลแปลงผักแบบอัตโนมัติ ทุกๆ 1 ชั่วโมง ระบบสปริงเกลอร์จะฉีดพ่นละอองน้ำในแปลงผัก เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนในแปลงผัก เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว และให้ผลผลิตสมํ่าเสมอ

ความเป็นไปได้ในทางการค้า
เกษตรกรสามารถวางแผนการปลูก กําหนดปริมาณสินค้าให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดได้ตลอดเวลา หากประสงค์จะลงทุนทำแปลงปลูกผักไร้ดินขนาดใหญ่ ต้องใช้เงินทุนหลักแสนขึ้นไป สามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว หากผลิตเป็นผักสลัดกล่องนำมาขายปลีก

งบลงทุนและแนวทางเริ่มต้น
การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ ต้นทุนส่วนใหญ่จะเป็นค่าอุปกรณ์ หากใช้อุปกรณ์ชุดปลูก ขนาด 2×1 เมตร จำนวน 5 ท่อ มูลค่าชุดอุปกรณ์อยู่ที่ 2,500 บาทแล้ว นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนวัสดุสิ้นเปลือง ประเภทฟองน้ำ ปุ๋ยน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถประยุกต์ใช้สิ่งของรอบตัวมาใช้งานเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ เช่น นำกล่องนมมาใช้เป็นวัสดุปลูกผักได้ ก็ช่วยประหยัดเงินแถมช่วยลดขยะเหลือใช้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ปุ๋ยน้ำที่ขายในท้องตลาดมีราคาสูง หากเป็นไปได้ควรรวมกลุ่มผู้ปลูกผักไร้ดินเพื่อซื้อปุ๋ยมาแบ่งใช้รวมกัน ก็จะมีต้นทุนการผลิตที่ถูกลง

ข้อควรระวัง
จุดอ่อนที่ต้องระวังอีกประการหนึ่งของการปลูกผักในระบบนี้คือ การเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ผักจากร้านค้าที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ เพราะเมล็ดพันธุ์ที่วางจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป อาจมีเปอร์เซ็นต์ความงอกต่ำ เพราะเป็นสินค้าเก่าค้างสต๊อก


แนะนำไอเดียเด็ด: การจัดสวนประดับด้วยผัก




คุณกฤษฎา กล่าวอีกว่า การปลูกผักรับประทานเองนอกจากจะได้ประโยชน์จากการรับประทานผักปลอดสารพิษแล้ว ยังได้ความสุขทางใจอีกด้วยที่จะเห็นผักที่ตัวเองปลูก ค่อยๆ เจริญเติบโตงอกงาม จนสามารถนำไปบริโภคได้แล้ว เรายังสามารถนำผักมาจัดเป็นไม้ประดับ และสวนประดับได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น มะเขือเทศ มะเขือเปราะ พริกหลากพันธุ์ กระเจี๊ยบ ถั่วฝักยาว บวบ กะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก ผักชีไทย ผักชีฝรั่ง ผักปลัง น้ำเต้า สลิด ฯลฯ

การจัดสวนประดับด้วยผัก สามารถปลูกผักจับใส่กระถางวางบนดิน ดัดแปลงเป็นไม้แขวน หรือจะนำพืชผักประเภทเลื้อย ทำซุ้มไว้นั่งรับลม ได้ทั้งความสวยงามที่กินได้ แถมมีสุขภาพดี สำหรับบ้านที่มีลูกหลานเล็กๆ  สามารถใช้ผักกระถางเป็นกุศโลบายช่วยสอนให้เขารู้จักผัก ซึ่งหลายคนไม่เคยเห็นว่าผักชนิดนี้เกิดจากต้นที่มีหน้าตาอย่างไร เติบโตอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ และอยากกินผักมากขึ้น

รูปแบบการนำเอาผักสวนครัวมาจัดประดับบ้านนั้น ก็เหมือนสวนสวยงามทั่วๆ ไป คือควรคำนึงถึงเรื่องมุมมอง มีจังหวะการจัดวางที่ไล่ระดับสูง ต่ำ สีสันอาจจะดูไม่ฉูดฉาด แต่เราก็สามารถนำผักสวนครัวมาประดับรวมกับพืชประดับอื่นๆ ได้ โดยพืชสวนครัวที่เราเลือกมาใช้ อาจแทนค่าเป็นไม้ประดับได้ เช่น ขิง ข่า ก็ใช้แทนพวกเฮลิโคเนีย   ผักชีฝรั่ง ก็อาจใช้แทนเฟิน หรือวอเตอร์เครต ก็อาจแทนไม้คลุมดินประเภทผักเป็ด หรือดาดตะกั่วได้



ข้อแนะนำเพิ่มเติม
ควรแบ่งชนิดผักออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกเป็นผักที่มีอายุค่อนข้างนาน เมื่อเด็ดใช้แล้วสามารถงอกขึ้นมาใหม่ เช่น กะเพรา โหระพา ซึ่งในกลุ่มนี้ควรจะเพาะปลูกอยู่ด้านในชิดตัวอาคาร ส่วนอีกกลุ่มเป็นผักที่มีอายุสั้น เมื่อเด็ดแล้วจะหมดไป เช่น คะน้า ผักบุ้ง เป็นต้น ซึ่งในกลุ่มนี้ควรปลูกอยู่ด้านนอก เมื่อเด็ดใช้หมดแล้วก็สามารถรื้อแปลงปลูกใหม่ได้ง่าย

ล่าสุด คุณกฤษฎา วางแผนจัดสร้างศูนย์เรียนรู้เรื่องการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ จัดสวนประดับด้วยผัก และการออกแบบ ดูแล รักษา สวนหย่อมในที่ดินของตัวเอง ซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยสายไหม 45 หากเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่าศูนย์เรียนรู้ฯ แห่งนี้ จะเปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป ภายในกลางปี 2559 หากใครมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เรื่องการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ สามารถติดต่อพูดคุยกับ คุณกฤษฎา ทัสนารมย์ ทางเบอร์โทร. (081) 855-2223, (080) 999-0364 ได้ทุกวัน



ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
http://www.tistr.or.th/bsd/hydroponic.html
https://th.wikipedia.org/wiki/ไฮโดรโปนิกส์